วันพฤหัสบดีที่ 5 มกราคม พ.ศ. 2555

ทุกข์ของชาวนา

ฉันได้พบบทกวีบทหนึ่ง ซึ่งได้พูดถึง ทุกข์ของชาวนามันเป็นบทกวีที่ดีมากและฉันอยากให้เพื่อนๆได้อ่านจึงนำมันมาลงให้ได้ชม และดูในสิ่งที่คนบางคนอาจจะไม่มีโอกาสที่จะได้รู้สึกว่าการที่คนเราเป็นชาวนาเค้า...รู้สึกอย่างไร

เปิปข้าวทุกคราวคำ              จงสูจำเป็นอาจิณ
เหงื่อกูที่สูกิน                             จึงก่อเกิดมาเป็นคน
    ข้าวนี้น่ะมีรส                       ให้ชนชิมทุกชั้นชน
  เบื้องหลังสิทุกข์ทน                     และขมขื่นจนเขียวคาว
 จากแรงมาเป็นรวง              ระยะทางนั้นเหยียดยาว
จากรวงเป็นเม็ดพราว                   ล้วนทุกข์ยากลำเค็ญเข็ญ
                                เหงื่อหยดสักกี่หยาด               ทุกหยดหยาดล้วนยากเย็น
         ปูดโปนกี่เส้นเอ็น                        จึงแปรรวงมาเปิปกิน
                          น้ำเหงื่อที่เรื่อแดง                 และน้ำแรงอันหลั่งริน
สายเลือดกูทั้งสิ้น                         ที่สูซดกำซาบฟัน

ดูจากสรรพนามที่ใช้ว่า กู ในบทกวีนี้ แสดงว่าผู้ที่พูดคือชาวนา ชวนให้คิดว่าเรื่องจริงๆนั้นชาวนาจะมีโอกาสไหมที่จะ ลำเลิก กับใครๆว่าถ้าไม่มีคนที่คอยเหนื่อยยากตรากตรำอย่างพวกเขา คนอื่นๆจะเอาอะไรกิน เราควรต้องรู้จักให้ความสำคัญกับสิ่งต่างๆถึงแม้มันอาจดูเป็นสิ่งที่มีค่าเล็กน้อย อย่างเช่น ข้าว แต่จงเชื่อว่าถึงแม้มันอาจจะเป็นสิ่งที่เมื่อดูด้วยตาเปล่าจะเป็นสิ่งที่ดูเล็กๆ แต่ถ้ามองดูให้ลึก มองแล้วคิดตามไปว่ากว่าจะเป็นข้าวที่มาอยู่ในจานข้าวนี้ที่เรากิน ใครบางคนซึ่งเราอาจไม่เคยสนใจไม่รับรู้ในสิ่งที่เขาทำนั้น เขาคนนั้นอาจจะต้องลำบากก้มๆเงยๆกี่ครั้งจนกว่าจะเป็นข้าวในจานนี้ที่เรากิน จึงอยากให้ทุกคนลองคิดถึงบุญคุณของคนที่ถึงแม้อาจจะไม่ใช่คนในบรรดาญาติมิตร พ่อแม่ หรือคนรู้จักก็ตาม แต่ก็อยากให้ทุกคนรู้จักบุญคุณของคนคนนั้น คนคนนั้นซึ่งเป็นชาวนา


                                
                          เรื่องทุกข์ของชาวนาในบทกวี


๑. ความหมายของชื่อเรื่อง  
 "ทุกข์ของชาวนาในบทกวี"  หมายถึง  ความทุกข์ของชาวที่ปรากฏในบทกวี
   ความทุกข์  คือความลำบาก  เดือดร้อน  ทุกข์ยาก  
          ๒.  ผู้นิพนธ์    สมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาสยามบรมราชกุมารี

๓.  ลักษณะของคำประพันธ์   เรียงความ
๔. ที่มาของเรื่อง นำมาจากหนังสือมณีพลอยร้อยแสง  หมวดชวนคิดพิจิตรภาษา
 นักศึกษาคณะอักษรศาสตร์จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย จัดพิมพ์ในวโรกาสเจริญพระชนมายุครบ  ๓  รอบ

๕.  จุดมุ่งหมายในการแต่ง  แสดงแนวพระราชดำริเกี่ยวกับบทกวีของไทย และบทกวีของจีน
       ที่กล่าวถึงความทุกข์ยากของชาวนา

๖. เนื้อเรื่อง/สาระสำคัญ         ตอนแรก  แสดงถึงความเข้าพระทัยปัญหาต่าง ๆ ของชาวนา เช่น ปัจจัยในการผลิต
การพยุง หรือประกันราคาข้าว  และการรักษาความยุติธรรมทั้งปวง  ซึ่งคนในสังคมไม่เคย
ช่วยเหลือชาวนาได้และชาวนาก็ไม่มีโอกาสหรือมีสิทธิ์ที่จะอุทรณ์กับใครได้    
         นอกจากนี้ยังสะท้อนให้เห็นพระเมตตาธรรมอันเปี่ยมล้นของพระองค์ที่มีต่อชาวนาอีกด้วย
                          



                           

         ตอนที่สอง  ทรงแปลบทกวีจีน ของหลี่เชินเป็นภาษาไทย 
ซึ่งทำให้ทราบถึงสภาพชีวิตของชาวนาจีนกับชาวนาไทยว่า  มิได้มีความแตกต่างกันมากนัก
          ตอนท้ายเรื่อง  พระองค์ทรงชี้ให้เห็นว่า      ความทุกข์ของชาวนาที่เป็นปัญหาในอดีต
ก็ยังคงเป็นปัญหาสะเทือนใจต่อคนในยุคคอมพิวเตอร์

๗.  ลักษณะของบทกวีไทยและบทกวีจีน    บทกวีของไทย เป็นของ  จิตร   ภูมิศักดิ์
    บทกวีของจีน   เป็นของ  หลี่เชิน
    ความเหมือนกัน     เนื้อหาของบทกวีทั้งสอง  นำเสนอเรื่องราวความทุกข์ยากของชาวนา
    ความแตกต่างกัน    วิธีการนำเสนอของกวีต่างกันคือ
    กวีไทย     นำเสนอเสมือนนำชาวนามาบรรยายเรื่องราวของตนให้ผู้อื่นฟัง
    กวีจีน        นำเสนอ เหมือนจิตรกรวาดภาพให้คนชม

๘.  ข้อคิดจากเรื่อง เราควรรู้คุณค่าของข้าวที่รับประทานกันอยู่ทุกวันว่า  กว่าจะได้เมล็ดข้าวมาแต่ละเมล็ด
  ล้วนเกิดจากความเหนื่อยยากของชาวนา  เพราะฉะนั้นไม่ควรกินทิ้งกินขว้างให้เสียประโยชน์